HilightNetflixข่าวหนังดูหนัง

หนัง Netflix น่าดูไปยาวๆ หยุดอยู่บ้านปลอดภัยจากโควิด 19

หนังใน Netflix ช่วงกักตัวหนีโควิด 19


จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ขยายเป็นวงกว้างลามไปเกือบทั่วประเทศไทยเราแล้ว และยังสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนมากมาย หลายคนมีการป้องกันตัวเองโดยการหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก หรือตามสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน และผู้คนก็มักจะอยู่ที่บ้านกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นการป้องกัน พร้อมทั้งหมั่นทำความสะอาดใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมืออยู่เสมอ

สำหรับใครที่หยุดอยู่บ้าน นอนเฉยๆ ไม่มีอะไรทำและกำลังเบื่อๆ เพราะไม่ได้ออกไปไหนเลย (ก็ไม่กล้าออกไปนี่นา..) ไม่รู้จะทำอะไรดี ทางเราก็ขอแนะนำหนังน่าดูทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกันใน Netflix ที่จะช่วยเติมเต็มการเดินทางและมอบความสุขให้กับคุณ ในช่วงที่ Covid ระบาด ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น ตามเราไปดูกันเลยจ้า

1. Crash Landing On You (ปักหมุดรักฉุกเฉิน)

ซีรีส์​เรื่อง​ “Crash landing on you” หรือรักปักหมุดนายฉุกเฉิน ​เป็นซีรีส์​ที่ได้รับเรตติ้งสูงมากในหลายประเทศ​ รวมถึงประเทศไทย​ ซีรีส์​เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของนางเอกที่เป็นนักธุรกิจ​ชาวเกาหลีใต้ไปพบรักกับพระเอกซึ่งเป็นทหารชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งประเทศเกาหลีเหนือ เป็นประเทศที่มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลายอย่าง​ เช่น​ เครื่องแต่งกาย​ ทรงผม​ ซึ่งต้องทำตามที่ทางการกำหนดเท่านั้น​ และความเป็นอยู่​ หน้าที่การงาน​ รวมถึงการศึกษา​ล้วนถูกกำหนดด้วยสิ่งที่เรียกว่า​ “ซองบุน”​ โดยมีเหตุการณ์​ดำเนินเรื่องเป็นปมขัดแย้งทางการเมืองของสองประเทศและเรื่องราวความขัดแย้งในครอบครัวนางเอกเองด้วย

แม้ซีรีส์​เรื่องนี้จะจบไปสักพักนึงแล้ว​ แต่เราก็เชื่อว่าหลายคนอาจจะยัง​ Move on จากสหายผู้กองไปไม่ได้​ นอกจากนักแสดงจะงานดี(มว๊ากกกก..)​ ฉากที่ใช้ถ่ายทำ​ เนื้อเรื่อง​ การแต่งกายของตัวละครทุกตัวก็ล้วนเเล้วเเต่น่าสนใจไปหมด​ เราก็ขอเกริ่นถึงเนื้อเรื่องคร่าวๆ​ พอนะว่า​ ซีรีส์​เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่นางเอก ซึ่งเป็นนักธุรกิจ​ผู้ร่ำรวยชาวเกาหลีใต้ เกิดอุบัติเหตุตอนเล่นร่มร่อน​ เนื่องจากกระแสลมแรงผิดปกติ​ ร่มร่อนของเธอจึงพลักตกมาในเขตเกาหลีเหนือ และได้พบกับทหารเกาหลีเหนือ​

เรื่องราวในเรื่องก็เป็นอย่างที่เราพอเดากันได้ ก็คือ ทั้งคู่พระนางเกิดตกหลุมรักกัน แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์​เรื่องนี้น่าติดตามก็คือการดำเนินเรื่องที่เข้มข้น ทั้งการเมืองระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้​ และการเมืองภายในครอบครัวเศรษฐี​ชาวเกาหลีใต้ของนางเอก​เอง และประเด็นที่เรามองว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ​ สามารถสร้างมนต์​เสน่ห์​ให้กับซีรีส์​เรื่องนี้ได้อย่างมากมาย​ ก็คือ​ เรื่องลึกลับของเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นประเทศ​ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ​ และไม่ค่อยมีข้อมูลของประเทศ​นี้ปล่อยออกมาสู่สายตาชาวโลกมากนัก ความเป็นอยู่ของประชาชนชาวเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ

2. Let It Snow

อุ่นรักฤดูหนาว เมื่อพายุหิมะถล่มเมืองเล็กๆ ก่อนวันคริสต์มาส นักเรียนไฮสคูลกลุ่มหนึ่งได้เรียนรู้ว่ามิตรภาพและชีวิตรักดันเกิดเรื่องวุ่นๆ แบบไม่ทันตั้งตัว ภาพยนตร์ตลกโรแมนติกอิงจากนวนิยายชื่อดังขายดีระดับนิวยอร์คไทม์เบสเซลเลอร์ Let It Snow หนังรักรวมดาราวัยรุ่นมีชื่อหลายคน ที่เล่นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักในวันคริสต์มาสวันเดียวกับหลายเหตุการณ์พร้อมๆ กันในเมืองเล็กๆ ซึ่งก็เหมือนหนังดัง Love Actually ที่รวมดารามีชื่อเสียงมาเล่นกับเรื่องราวความรักหลายแบบ

แต่ในเรื่องนี้นั้นจำกัดเรื่องราวความรักแค่ช่วงวัยรุ่นไฮสคูลเทอมสุดท้ายเท่านั้น ต่างกับ Love Actually ที่มีความรักทุกช่วงอายุ ก็เรียกว่าเป็น Love Actually เวอร์ชั่น มอปลาย ก็ว่าได้ หนังเดินเรื่องตัดสลับความรักหลายแบบ เพื่อนสนิทที่โตมาวัยเด็ก คนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญมาเจอกัน ความรักเพศเดียวกันที่ต้องปิดบัง การแยกทางกัน เพื่อนสนิทที่ต้องมาแตกคอกันในเรื่องความรัก โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มคนละจุด แต่ถูกบีบให้มาจบลงที่เดียวกันสุดท้ายที่ร้านอาหารในเมืองเล็กๆ ที่จัดปาร์ตี้ มาเหล้าโต้รุ่งข้ามวันตามประสาหนังวัยรุ่นอเมริกัน

หนังเรื่องนี้ได้วางเรื่องราวความรักไว้เป็นสเต็ปตามสูตรทุกอย่าง เริ่มจากทุกคู่มีปม ระหว่่างทางก็มีช่วงเวลาดีๆ ให้กันก่อนจะพบกับปัญหาจนแยกทางกัน สุดท้ายก็กลับมาคืนดีคลายปมความรัก หนังเป็นเส้นตรงแหน่วต่างกับ Love Actually ที่มีความรักหลายแบบให้ลุ้นมากกว่า ซึ่งก็เข้าใจแหละว่าหนังรักวัยรุ่นฉีกมากไม่ได้ สุดท้ายก็ยังเป็นความรักวัยเรียนที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร หนังถึงเล่นเรื่องราววันคริสมาสต์จบได้ในวันเดียว กับคำถามที่ว่าวันเดียวแปรเปลี่ยนใจคนได้ไหม?

อีกคู่หนึ่ง เป็นเรื่องราวของคนแปลกหน้าสองคนมาเจอกัน โดยที่อีกฝ่ายเป็นนักร้องวัยรุ่นดังที่พยายามหลบจากผู้คนที่มักแห่มาหาเขาจนไม่มีเวลาชีวิตเป็นส่วนตัว กับฝ่ายหญิง (รับบทโดย Isabela Merced) ที่อยู่เมืองเล็กๆ แห่งนี้มาตลอดไม่สามารถทิ้งไปไหนได้ แม้จะได้ทุนไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยดังในเมืองใหญ่ เพราะมีแม่ที่ต้องดูแล เป็นพาร์ทความรักแรกพบกับเป้าหมายในชีวิตหลังเรียนจบ ที่ต้องเลือกระหว่างความจริงหรือความฝัน

หนังใช้ตัวละครนักร้องผิวสีผู้ประสบความสำเร็จมาเป็นตัวทำให้เรื่องราวมีการผจญภัยหนีจากผู้คน โดยที่ฝ่ายหญิงไม่รู้สึกอินอะไรกับความเป็นนักร้องของเขา แต่ห่วงกังวลกับชีวิตตัวเองมากกว่า แล้วก็ไม่คิดว่าวันเดียวคนเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่สุดท้ายก็ได้รู้หัวใจตนเองว่า “รักแรกพบมีจริง”

บทหลักตกอยู่ฝ่ายหญิง ซึ่งเล่นได้ดีมีเสน่ห์ดี ดูเป็นสาววัยรุ่นที่แตกต่าง ฉลาด มีไหวพริบ จนเชื่อว่าใครพบเจอก็ตกหลุมรักเธอได้แบบพระเอกในเรื่อง แต่ฝ่ายชายกลับไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ไม่ได้มีฉากโชว์ฝีมือร้องเพลงอะไรตามเรื่อง ดูขัดตาเหมือนแคสมาไม่เข้ากับบท ยังดีนะที่ฝ่ายหญิงมีเรื่องให้น่าติดตามดูว่าเธอจะยอมรับ “รักแรกพบวันเดียว” ได้หรือไม่ แถมยังต้องตัดสินใจเรื่องอนาคตทั้งชีวิตของเธอกับแม่อีกด้วย

3. Insatiable ชิงรักหักมงกุฏ

ความอ้วนไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ว่าจะมีรูปร่าง หน้าตา สีผิว หรือรสนิยมแบบไหน ต่างก็หนีไม่พ้นการถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งอาจเป็นประสบการณ์ที่ใครหลายคนเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งในรูปแบบของการมองด้วยสายตา คำพูดที่ออกมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หัวเราะ ล้อเลียน หรืออาจรุนแรงถึงขั้นกลั่นแกล้งด้วยการใช้กำลัง รวมทั้งการป่าวประกาศไปในโลกโซเชียล ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะอดทนก้าวข้ามเหตุการณ์ดังกล่าวไปได้ ในฐานะเหยื่อ พวกเขาต่างมีบาดแผลที่ต้องการเยียวยา

ผลกระทบที่ร้ายแรงของการกลั่นแกล้ง (Bullying) เริ่มปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโลกเชื่อมโยงกันด้วยสังคมออนไลน์ ทำให้ประเด็นดังกล่าวมีการพูดถึงมากขึ้น เฉพาะแค่ซีรีส์ในช่วง 1-2 ปีนี้ ก็เต็มไปด้วยเนื้อหาที่สะท้อนประเด็นดังกล่าว ทั้งซีรีส์ เด็กใหม่, My ID is gangnam beauty, Switched

และโดยเฉพาะซีรีส์ 13 Reasons Why ที่ช่วยชี้ให้ผู้ชมได้เห็นว่า ทำไมคนหนึ่งคนจึงกล้าพุ่งหาความตายมากกว่าการมีชีวิตอยู่ นั่นเพียงเพราะคำพูดหรือการกระทำร้ายๆ จากคนอื่น อีกทั้งตัวละครใน 13 Reasons Why มีความเป็นมนุษย์สุดๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้ชมหันกลับมามองย้อนดูตัวเองด้วยว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครคนหนึ่งต้องหัวใจสลายบ้างหรือไม่

Insatiable เล่าเรื่องราวของ แพตตี้ สาวอ้วนที่เป็นเหยื่อของสังคมไฮสคูลอันโหดร้าย และไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียม เพราะเรื่องน้ำหนักตัวของเธอมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งวันหนึ่งเธอไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทและได้รับบาดเจ็บจนเธอไม่สามารถกินอาหารได้เป็นปกติถึง 3 เดือน ท้ายที่สุดแพตตี้ก็ผอมลงจนเปลี่ยนไปเป็นสาวสวยสุดฮอต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอได้พบกับ บ๊อบ อาร์มสตรอง ทนายฉาวที่สร้างชื่อจากการเทรนสาวงามส่งเข้าประกวด

เขาเข้ามารับหน้าที่ที่ปรึกษาเรื่องกฎหมาย ทั้งคู่ช่วยกันเอาตัวรอดจากคดีทำร้ายร่างกายของแพตตี้ และก้าวสู่สเตปต่อไป เมื่อบ๊อบตั้งใจจะปั้นเธอให้เป็น Miss USA นางงามระดับท็อปที่สุดของประเทศให้ได้ อย่างไรก็ดี เส้นทางนางงามของแพตตี้ก็เหมือนเป็นภารกิจรอง เมื่อเธอมีอีกหนึ่งภารกิจหลักที่ต้องจัดการ นั่นคือการแก้แค้นพวกขี้แกล้ง จากคนที่เคยถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำมาสู่การแก้แค้น และในวันนี้เธอพร้อมจะทำให้คนที่เคยทำผิดกับเธอได้รับบทเรียน!

จะว่าไปสิ่งที่โดดเด่นของเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นการแสดงของเหล่านักแสดง ที่แม้จะไม่ดังมากแต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตนเอง ทั้ง เดบบี ไรอัน ที่มารับบทแพตตี้ ด้วยรูปลักษณ์แบบสาวฮอตหุ่นอวบอั๋นซึ่งเหมาะมากกับอดีตดาราเด็กช่องดิสนี่ย์อย่างเดบบี ที่ใช้เสน่ห์เฉพาะตัวมาดึงความสนใจจากคนดูได้ทุกซีนที่ปรากฏตัว ใครล่ะจะห้ามใจกับใบหน้าดูไร้เดียงสาแต่ความฮอตแบบเชพบ๊ะของนางได้ต่อให้บทลากแพตตี้ไปเจอเรื่องซวยต่างๆ นานาหรือกระทั้งทำเรื่องชั่วร้าย คนดูก็พร้อมจะเอาใจช่วยเธออยู่ดี

4. 6 Underground (6 ลับ ดับ โหด)

เมื่อมหาเศรษฐีหนุ่มนักประดิษฐ์รวบรวมทีมเฉพาะกิจฝีมือดีจากทั่วทุกมุมโลกขึ้นมา 6 คน ทุกคนจะต้องแสร้งตายเพื่อลบอดีตและใช้รหัสโค้ดตัวเลขแทนชื่อ โดยทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือทนเห็นความอยุติธรรมบนโลกนี้ไม่ได้ พวกเขาจึงต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ด้วยการกำจัดเหล่าคนชั่วที่อำนาจรัฐไม่อาจแตะต้องได้ โดยเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับล่าสุดของ ไมเคิล เบย์ บิดาแห่งการวางระเบิดกองถ่าย ซึ่งหนัง Netflix เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างไปกว่า 150 ล้านเหรียญ เป็นรองแค่ The Irishman และยังได้พระเอก ไรอัน เรย์โนลด์ มารับบทนำ พ่วงด้วยมือเขียนบทจาก Deadpool และ Zombieland

6 Underground มีความเป็นไมเคิล เบย์ อยู่ทุกอณูแค่เปิดเรื่องหนังก็ประเคนฉากขับรถไล่ล่าสุดระห่ำมาให้ผู้ชมจัดเต็มความมันเกือบ 20 นาทีโดยไม่หยุดพัก ทั้งขับรถหนีทั้งยิงต่อสู้ ดริฟท์หลบเด็กหลบหมา ขับฝ่าซอกตึก ท่ามกลางโลเคชั่นสวยๆ ของประเทศอิตาลี โดยมีตัวละครแหกปากอยู่ในรถ พร้อมมุกตลกร้ายกับเพลงประกอบที่ใส่มาอย่างถูกจังหวะ และที่ขาดไม่ได้เลยคือฉากระเบิด ทั้งระเบิดถนน ตึกและรถ แม้แต่รถชนแผงลอย แผงลอยยังระเบิด คืออะไรที่ผ่านหน้ากล้องจะต้องมีสะเก็ดไฟปลิวว่อน ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นวัตถุไวไฟหมด

หนังเรื่อง 6 Underground ค่อนข้างมีความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฉากยิงกันเลือดสาด ฉากขับรถไล่ชนคนเป็นๆ กลางถนน หรือเอาระเบิดยัดปากจนหัวแหลกกระจุย ซึ่งแน่นอนว่าเราได้ความสะใจจากแอ็คชั่นโหดๆ มุมกล้องสวย ๆ ระเบิดตูมตามสะเก็ดไฟปลิวว่อนแบบนี้มาก คุ้มค่ากับเงิน 150 ล้านเหรียญที่ให้เบย์มาละเลงเลือดจริงๆ

สรุปแล้ว 6 Underground ยังคงมาตรฐานแอ็คชั่นสไตล์ ไมเคิล เบย์ ที่เหมาะสำหรับดูเอามันโดยเฉพาะ และนี่เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ที่มันสุด ฮาป่วง โหดมากๆ และมีคุณสมบัติสำหรับการเป็นอันดับหนึ่งตารางหนังทำเงินแบบฉายโรงสบายๆ ด้วยฝีมือของแต่ละวงการทั้งนักแสดง ผู้กำกับ มือเขียนบท ทีมสร้าง อยากจะบอกว่าเสียดายแค่ว่ามันไม่ได้ดูในโรงแค่นั้นล่ะ นอกนั้นดีจริงๆ คุ้มค่าเน็กฟลิกซ์แน่นอน

5. The Crown

The Crown ถือเป็นซีรีส์ที่คนนิยมกันมาก และยังใช้ทุนสร้างมหาศาล โดยซีซั่นแรกนั้นใช้เงินไปถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แพงเป็นสองเท่าเทียบจากรายได้ที่เชื้อพระวงศ์ทุกองค์ในราชวงศ์วินเซอร์ต้องจ่ายเป็นภาษีกับแผ่นดิน คนชอบประวัติศาสตร์ต้องดูเลยล่ะ เรื่องราวจะนำเสนออุปสรรคมากมายหลังการขึ้นครองราชย์ของ ควีนเอลิซาเบธ เรื่องชีวิตคู่ที่ซับซ้อนกับเจ้าชายฟิลลิป แฉเบื้องลึกและข่าวอื้อฉาวในราชวงศ์วินเซอร์สมัยนั้นชนิดไม่ปราณีต่อบุคคลที่มีตัวตนจริงที่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ดูแล้วเข้าใจตามได้

เดอะคราวน์ ถือว่าเป็นซีรีส์ระดับเรือธงชั้นแนวหน้าของ Netflix ขณะเดียวกันก็เป็นซีรีส์ที่พาดพิงชีวิตบุคคลจริงมากมาย ชนิดที่หากจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากที่สุดในโลกก็ไม่แปลกใจ ซึ่งสาเหตุหลักเพราะซีรีส์เรื่องนี้ ได้จับเอาเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์และเจาะเบื้องลึกของ ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) รวมถึงการเจาะไปยังชีวิตสมรสของ ควีนเอลิซาเบธ และเจ้าชายฟิลิปส์ เท่านั้นไม่พอ ยังรวมถึงชีวิตและเรื่องราวอื้อฉาวที่เคยเป็นข่าวครึกโครมจนถึงขั้นเกือบจะสั่นคลอนราชวงศ์และประเทศอังกฤษในยุคนั้น

สำหรับการนำเสนอเรื่องราวในซีรีส์ จะเน้นเจาะไปยังประเด็นละเอียดอ่อนของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ และหลายคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่ หลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญที่มีภาพลักษณ์ในเชิงบวก แต่ซีรีส์เรื่องนี้ตีแผ่ในมุมที่เป็นสีเทา ซึ่งหลายมุมที่เกิดขึ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นข่าวใหญ่อื้อฉาวตั้งแต่ในยุค 40-70 แต่คนรุ่นใหม่ก็อาจจะไม่เคยได้ยินหรือก็อาจหลงลืมไป และที่ร้ายกาจมากคือ ซีรีส์เรื่องนี้กลับ “กล้าที่จะขุดเรื่องอื้อฉาวเหล่านั้นกลับมาใหม่” ให้กลับมาออกสู่สายตาคนดูทั่วโลกอีกครั้ง (บางเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากไม่เคยทราบมาก่อน)

ในด้านการแสดง และโปรดักชั่น คือจุดแข็งที่สุดของซีรืส์เรื่องนี้เลยค่ะ โดยเฉพาะพลังการแสดงของ Clair Floy ที่กลายเป็นภาพจำในบทควีนเอลิาเบธวัยสาวไปแล้ว นักแสดงนำคนอื่นในเรื่องก็เช่นกัน ด้านโปรดักชั่น ถือว่าเป็นซีรีส์ที่จัดเต็มในด้านสถานที่ การเซตติ้งฉากพิธีการต่างๆ ไปจนถึงดนตรีประกอบที่ได้ Han Zimmer มาดูแล การันตีความอีพิคได้

สำหรับคนนใจประวัติศาสตร์อังกฤษ และเรื่องราวในราชวงศ์วินเซอร์ ต้องดูเรื่องนี้เลยครับ ส่วนคนที่ไมได้สนใจแนวนี้ ก็สามารถรับชมได้ เพราะตัวเรื่องมีการนำเสนอให้ย่อยง่ายพอสมควร เพียงแต่ถ้าไม่มีพื้นฐานเรื่องของสังคมอังกฤษในสมัยนั้นไว้บ้าง อาจจะมึนงงกับตรรกะความคิดของผู้คนในเรื่องได้เหมือนกัน นี่จึงเป็นซีรีส์ชิ้นสำคัญที่ยังจะมีซีซั่นต่อมาให้ติดตาม และด้วยความสามารถอันเอกอุของปีเตอร์ มอร์แกน จึงขอเชิญชวนแบบไม่ได้ค่าโฆษณาให้ทุกท่านไปพิสูจน์ผ่านทางซีรีส์ The Crown จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ชอบไม่ชอบผลงานของมอร์แกน ก็ถือเป็นสิทธิของทุกท่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับหนังดีๆ 5 เรื่องด้วยกัน ที่ DooDiDo เรานำมาฝาก ให้ทุกคนที่กำลังกักตัวอยู่บ้านเพื่อประเทศ หนังจะช่วยเติมเต็มให้คุณ และมอบความสุขให้กับคุณได้ดีอย่างแน่นอน

ติดตามข่าวสารทั่วโลกทาง DooDiDo.com อัพเดตก่อนใครทุกวัน

แหล่งที่มา : www.moneybuffalo.in.th, www.playinone.com, www.beartai.com, www.blockdit.com