ดูหนังหนังต่างประเทศ

พักเรื่อง COVID แล้วไปนั่งคุยกับสัตว์ในหนังเรื่อง Dolittle

ภาพยนตร์น่ารัก เอาใจเด็กๆ Dolittle


หลังสูญเสียคนรัก ดร.ดูลิตเติ้ล (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) แพทย์ที่สามารถพูดภาษาสัตว์ได้ทุกตัวเลือกปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและผู้คนแล้วใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์นานาประเภท จนกระทั่งการบุกรุกของสตับบินส์ (แฮรี คอลเล็ต) ลูกชายนายพรานผู้มาพร้อมกระรอกที่เขาเผลอยิงโดยไม่ตั้งใจมาให้รักษา กับเลดีโรส (คาร์เมล ลาเนียโด) เจ้าหญิงน้อยที่มาตามตัวดูลิตเติ้ลเข้าเฝ้าถวายการรักษาราชินีวิกตอเรีย (เจสซี บัคลีย์) จนได้พบว่าพระราชินีถูกลอบวางยา

และหนทางเดียวที่จะถอนพิษได้คือจะต้องไปหาผลไม้ในตำนานยังดินแดนไกลโพ้นมากๆ แล้วการผจญภัยระหว่างสองคนกับเหล่าสัตว์นานาชนิดก็ทำให้พวกเขาต้องเดินทางออกจากโลกใบเดิมที่คุ้นตาไปสู่โลกที่กว้างขึ้นเพื่อหาผลไม้มาถอนพิษให้พระราชินีก่อนแผนการของลอร์ด โธมัส แบดจ์ลีย์​(จิม บรอดเบนต์) ที่หวังครองบัลลังก์แทนพระราชินี กับ ดร.แบลร์ มัดฟลาย (ไมเคิล ชีน) หมอหลวงที่สมคบกันจะทำให้ประเทศตกอยู่ใต้อำนาจของทรราชและอาจทำให้บ้านที่เขาและเหล่าสรรพสัตว์ใช้ซุกหัวนอนจะต้องถูกยึดไป

Dolittle
Dolittle

นับเป็นเวลา 100 ปีแล้วที่ Dr. Dolittle ของฮิวจ์ ลอฟติง ได้โลดแล่นไปตามสื่อต่างๆ โดยยิ่งไปกว่านั้นภาพยนตร์เองก็มีการสร้างในหลายแบบ โดยย้อนกลับไปปี 1998 ทั่วโลกได้รู้จักกับ Dr. Dolittle ผ่านการแสดงของ เอดดี เมอร์ฟี ดาราตลกผิวสีกับมุกทะเล้นๆ ใบหน้ากวนๆ และเหล่าสารพัดสัตว์พูดได้ที่มาสร้างเสียงหัวเราะและความน่ารักโดยดัดแปลงให้เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจนหนังทำเงินกลายเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์มีภาคต่อตามมาในปี 2001 และยังมีหนังแบบส่งตรงวิดีโอตามมาอีก

นั่นทำให้เห็นว่าเรื่องราวของ ดร.ดูลิตเติ้ล แพทย์สารพัดสัตว์ยังคงสัมผัสใจผู้คนแม้กาลเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน แต่คล้อยหลังมาเพียง 19 ปีเราก็ได้ดูเรื่องราวของแพทย์สารพัดสัตว์กันอีกครั้งในผลงานกำกับของสตีเฟน กาแกน ที่เคยมีงานกำกับเขียนบทระดับออสการ์อย่าง Traffic(2000) และ Syriana (2005) แต่คราวนี้กาแกนยึดการเดินเรื่องในยุควิคตอเรี่ยนของอังกฤษตามนิยายอีกครั้ง โดยได้โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เพิ่งจบภารกิจกับเหล่าอเวนเจอร์มารับบท ดร.ดูลิตเติ้ล แพทย์ที่พูดคุยกับสัตว์ได้ ซึ่งแน่นอนว่าการได้นักแสดงที่ดีก็ทำให้หนังที่มีภาพลักษณ์การเล่าเรื่องดูเชยๆ และซ้ำดูดีขึ้นมาอย่างไม่เคยคิดมาก่อนเลยล่ะ

Dolittle
Dolittle

ประการแรกเลยคือ ดร.ดูลิตเติ้ล ในฉบับนี้ถูกดัดแปลงจากฉบับนิยายที่เป็นหนุ่มโสดให้กลายเป็นหนุ่มหม้ายที่สูญเสียภรรยานักสำรวจสุดที่รักไป จนตัวเขาไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจจะออกเดินทางไปไหนแม้แต่จะออกจากบ้านแม้เพียงก้าวเดียว ดังนั้นพฤติกรรมเพี้ยนๆ ที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ต้องแสดงออกก็ถูกคิดมาละเอียดแล้วว่าเกิดจากดรามาที่เป็นเรื่องราวเบื้องหลังของตัวละคร

ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ความเพี้ยน ความอบอุ่น ความน่ารักของเขากับเหล่าสรรพสัตว์ก็ทำให้ดร. ดูลิตเติ้ลในเวอร์ชันนี้เข้าถึงหัวใจเด็ก ๆ ได้ไม่ยาก แถมยังพอดีแบบไม่เพี้ยนเกินไปเหมือนเชอร์ล็อกโฮล์มแต่ก็ไม่ได้เท่เกินมนุษย์แบบโทนี สตาร์ก จะมีเสียดายหน่อยก็ตรงที่หนังเร่งจังหวะในการเล่าเรื่องเหลือเกินทำให้ฉากที่พยายามจะเล่าดรามามีพื้นที่ของมันน้อยเกินไป แต่หากพิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายของหนังคือครอบครัวและเด็ก ๆ เรื่องการเล่าเรื่องที่ดูเร่งรีบไปหมดแบบนี้ก็ดูจะสนองตอบครอบครัวยุค 4G 5G แบบนี้ดีเหมือนเกิน

อีกจุดที่เป็นข้อดีมาก ๆ คือความฮาของหนังโดยเฉพาะมุกจากเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้เหล่าดารามาให้เสียงพากย์ โดยเฉพาะบทนำอย่าง โพลี ที่ได้เอมมา ธอมป์สันผู้ผูกขาดบทสาวใหญ่ใจดีก็ทำให้โพลีมีเสน่ห์และเป็นตัวนำพาเรื่องราวไม่น้อย ซึ่งเรื่องราวบางส่วนก็ถูกบอกเล่าผ่านเสียงของโพลีด้วย ส่วนกระรอกตัวฮาอย่างเควินก็ได้

Dolittle
Dolittle

เครก โรบินสัน ดาราตลกผิวสีมาพากย์ได้กวนชวนหัวเราะมากๆ และที่ถือเป็นตัวขโมยซีนก็หนีไม่พ้นชีชี่ ลิงกอริลลาขี้กลัวที่ได้รามี มาเล็กจาก Bohemian Rhapsody และ Mr. Robot มาพากย์ได้อย่างมีเสน่ห์คู่กับบท โยชิ หมีขั้วโลกขี้หนาวที่ได้อดีตนักมวยปล้ำอย่างจอห์น ซีนามาพากย์ได้อย่างน่ารักฝุดๆ นอกนั้นบทของสัตว์ตัวอื่นก็ถูกเฉลี่ยกันไปอย่างทอม ฮอลแลนด์ ที่มาพากย์เป็นจิ๊ป หมาคู่ใจของดร.ดูลิตเติ้ล เพื่อหวังขายว่านี่คือการกลับมาร่วมงานกันต่อจากอเวนเจอร์ก็กลายเป็นเพียงตัวประกอบไปอย่างน่าเสียดาย

มาว่ากันถึงความลงตัวของหนังกันบ้าง ด้วยความที่นิยายมีมาเกิน 100 ปี ดัดแปลงมาครบทุกสื่อแล้ว ดังนั้นการที่ทุกคนรู้จักเรื่องราวและคาแรกเตอร์ของดร. ดูลิตเติ้ล จนทะลุขนาดนี้แล้วก็เหมือนกาแกน จะไม่ได้สนใจเล่าที่มาที่ไปของ ดร.ดูลิตเติ้ล นักโดยหนังใช้อนิเมชันสไตล์โรโตสโคป มาบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของดร.ดูลิตเติ้ลตอนต้นเรื่องเพื่อปูที่มาพฤติกรรมเพี้ยนๆ ของเขาเท่านั้น แต่กลับไม่ได้สำรวจสภาพจิตใจของตัวดูลิตเติ้ลฉบับนี้นัก

Dolittle
Dolittle

ซึ่งก็น่าเสียดายที่การที่หนังฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่ตัดคำว่า ด็อกเตอร์ ออกจากชื่อเรื่องให้เรารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์มากขึ้นแต่ดันเล่าให้เขากลายเป็นผู้วิเศษเสียยิ่งกว่าเวอร์ชันอื่นเสียอีก และแม้บทจะบังคับให้เขาต้องกลับไปสู้กับพ่อตา แต่ว่าก็ดันไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างฉากผจญเสือดุร้ายอย่างแบร์รีแค่นั้นเอง

และถ้าพ้นจากดรามาที่เราว่ายังไม่ขยี้ให้สุดแล้ว ด้านการเล่าเรื่องราวแนวผจญภัยเองที่อุตส่าห์อัดทั้งฉากขับเรือรบไล่ล่า เอาอานใส่ให้ปลาวาฬช่วยเร่งสปีดเรือ ระเบิดเมือง สู้เสือ ไปจนถึงผจญมังกร หนังก็เลือกให้ปมทุกอย่างเริ่มง่ายจบง่ายขาดความตื่นเต้นสำหรับคนดูวัยผู้ใหญ่มากไปหน่อย แต่อย่างว่า ถ้าเกิดมองว่านี่คือหนังครอบครัวก็คงต้องทำใจละครับยังดีที่หนังมีทั้งมุกฮาและฉากผจญภัยที่น่าตื่นตาอัดมาถี่พอสมควรแต่เชื่อว่าเด็กๆ จะชอบแน่นอน

Dolittle
Dolittle

สรุปแล้ว Dolittle คือหนังที่เราแนะนำให้ครอบครัวพากันไปสนุกในโรงภาพยนตร์มากกว่าคอหนังที่ต้องการหาหนังแอ็กชันผจญภัยสนุกๆ น่าตื่นเต้นดู เพราะแม้หนังจะมีซีนน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เยอะ แต่โทนการเล่าเรื่องดูจะเอาใจเด็ก ๆ มากกว่าผู้ใหญ่ ยังดีที่ได้มุกฮา ๆ และการพากย์ที่มีเสน่ห์จากเหล่าดาราดังมาทำให้เรื่องราวมีสีสันและงานโพรดักชันที่ทำได้ในระดับไม่น่าเกลียดก็ทำให้ Dolittle เหมาะมากกับการเป็นหนังครอบครัวเปิดปี 2020 ได้อย่างหรรษา

หลังภาพยนตร์เข้าฉาย DooDiDo พบว่าคะแนนรีวิวต่างกันมากจนน่าตกใจ คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์อยู่ที่แค่ 17% เท่านั้น ถือว่าน้อยมาก ขณะที่คนดูทั่วไปอยู่ที่ 78% ยังเป็นเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี

ติดตามข่าวสารทั่วโลกทาง DooDiDo.com อัพเดตก่อนใครทุกวัน

แหล่งที่มา : www.beartai.com