HilightNetflixดูหนัง

คอหนังแฟนตาซีห้ามพลาด The Witcher | NETFLIX Series

รีวิว The Witcher เดอะ วิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร


เกรอลด์ แห่ง ริเวีย (เฮนรี คาวิล) นักล่าอสูรเผ่าวิทเชอร์ ได้เริ่มเดินทางเพื่อเผชิญโชคชะตาในการปกป้องเด็กหญิงที่เขาจะพบในป่าตามคำทำนาย ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือ ซิรี (เฟรยา อลลัน) เจ้าหญิงแห่งซินตราที่ต้องลี้ภัยสงครามล่าอาณานิคมโดยกองทัพแห่งนิล์ฟการ์ด โดยเธอยังต้องค้นหาความลับของพลังลึกลับที่ครอบครัวเก็บงำเอาไว้

และอีกด้านของโชคชะตายังมี เยนนิเฟอร์ แห่ง เวงเกอร์เบิร์ก จอมเวทย์สาวอาคมแก่กล้าผู้ยอมแลกโอกาสในการมีลูกกับความงามที่เธอไม่ต้องทนทุกข์กับหลังคดงออันอัปลักษณ์ต่อไป งานนี้นอกจากเหล่าปีศาจที่ วิทเชอร์ อย่าง เกรอลด์ ต้องจัดการแล้ว การตามหา ซิรี ยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้โลกปลอดภัย

The Witcher ถือว่าเป็นหนึ่งในนวนิยายขายดีประจำประเทศโปแลนด์ผลงานจากนักเขียนชื่อดัง Andrzej Sapkowski ก่อนที่ทาง CD Projekt จะนำเอามาดัดแปลงเป็นเกมจำนวนสามภาค ซึ่งได้รับคำชมจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมากโดยเฉพาะตัวเกมภาคที่ 3 The Witcher 3: Wild Hunt ที่ทำออกมาได้ดีมากจนคว้ารางวัล Game of The Years 2015 ไปครอง ปัจจุบันแม้จะผ่านมา 5 ปีแล้วตัวเกมยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและลงเครื่อง Nintendo Switch ไปเมื่อไม่นานมานี้ การออกแบบคาแรกเตอร์ เกรอลต์ และตัวละครอื่นๆ ได้เท่มาก รวมไปถึงความสนุกและความยากของเกมที่ทำให้ผู้เล่นใช้เวลาในการเคลียร์เกมเป็นร้อยชั่วโมง

The Witcher
The Witcher

ซึ่งแน่นอนว่า ต้นธารและไอเดียของคาแรกเตอร์ ก็รับอิทธิพลจากเกมมาจำนวนมาก ยิ่งได้เฮนรี คาวิล แฟนเกมตัวยงของ The Witcher ที่ขอเสนอตัวโดยทันทีที่มีการประกาศสร้างแม้จะยังไม่มีบทก็ตาม ก็ยิ่งชัดเจนถึงแนวทางที่ ลอเรน ชมิตท์ ผู้สร้างวางแนวทางเอาไว้จนผลลัพธ์ของมันก็ออกมาเหมือนเราได้เล่นเกมตะลุยด่านเลยทีเดียว

โดยในแต่ละตอนโครงสร้างการดำเนินเรื่องก็คล้ายเวลาเปิดเกมมาก เช่นจะมีคนมาบอกภารกิจตามสถานที่ต่างๆ ทั้งมาในรูปแบบของป้ายประกาศที่ติดตามสถานที่ หรือเป็นซีนที่ เกรอลด์ เข้าพบคนมอบหมายภารกิจเลย ซึ่งก็ถือเป็นการดึงจุดเด่นของเกมมาใช้ได้ดี แถมบางตอนซีรีส์ยังใช้ประโยชน์จากรูปแบบการเล่าเรื่องนี้ในการย่นย่อเรื่องราวให้กระชับขึ้นผ่านปากตัวละครไปเลย

แต่กระนั้นในอีกด้านหนึ่งการที่มันใช้การดำเนินเรื่องเหมือนเกมก็ทำให้คนดูไม่อาจยึดโยงกับเป้าหมายที่แท้จริงของตัวละครได้เหมือนกัน โดยตอน 1-4 ซีรีส์แทบจะดำเนินเรื่องเหมือนมีหนัง 3 เรื่องที่ต้องเล่าควบคู่ไปทั้ง เกรอลด์, ซิรี และ เยนนิเฟอร์ แบบไม่มีเส้นเรื่องใดบรรจบกันเลย ดังนั้นคนดูก็เหมือนต้องร่วมทำเควสต์ไปกับเกรอลด์เรื่อยๆ และพอซีรีส์เดินเข้าสู่ตอน 5 นั่นแหละที่โครงสร้างเรื่องเริ่มชัดเจนขึ้น (แต่ก็ไม่ลดทอนความซับซ้อนลงเลย) ดังนั้นคนดูอาจต้องอดทนดูและเก็บรายละเอียดให้จบ 4 ตอนเสียก่อนจึงจะสามารถเข้าใจโลกใน The Witcher และสามารถติดตามเรื่องราวอีก 4 ตอนที่เหลือได้อย่างสนุกสนานพอควร

The Witcher
The Witcher

แต่จะว่าซีรีส์เดินเรื่องแบบเกมไปเรื่อยๆ เสียทีเดียวก็ไม่ถูก เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว The Witcher กล้าหาญมากที่เล่นกับการเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลา โดยตอนแรกเราจะได้เห็นเหตุการณ์ที่เหมือนปลายทางจากมุมมองหนึ่ง ก่อนตอนสุดท้ายซีรีส์จะมาเฉลยว่าเหตุการณ์ในตอนแรกส่งผลต่อตัวละครอย่างไร แล้วตอนที่ 2-7 จะนำเสนอเหตุการณ์ที่ทำให้ชะตากรรมของตัวละครทั้ง เกรอลด์, ซิรี และ เยนนิเฟอร์ ต้องบรรจบกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์มาก เพียงแต่เราจะต้องคอยดูและจับรายละเอียดให้ดี

ด้วยเนื้อหาที่เยอะและซับซ้อน แถมยังเดินเรื่องค่อนข้างเร็วก็อาจทำให้ต้องตามเรื่องกันเหนื่อยหน่อย แต่ก็โชคดีที่คราวนี้ Netflix มีพากย์ไทยที่ใช้ทีมเดียวกับที่พากย์หนังโรงเลย ทำให้การดูพากย์ไทยก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยสำหรับการดูเรื่องนี้

แต่สิ่งที่คงจะเลี่ยงไม่ติติงไม่ได้คงเป็นในแง่การกำกับการแสดงและงานวิช่วลนี่แหละ โดยภาพรวมแล้วจุดบอดของซีรีส์ชุดนี้นอกจากตรรกะของบทอย่างที่กล่าวไปแล้ว คงหนีไม่พ้นการแสดงที่ทุกตัวละครดูจะ “แข็งทื่อ” ไร้อารมณ์เหมือนกันไปเสียหมด ยิ่งถ้าใครฟังเสียงตัวละครต้นฉบับจะพบว่าทุกตัวละครแทบจะใช้โทนเสียงเดียวกันและไม่มีคาแรกเตอร์ใดที่โดดเด่นหรือเป็นที่จดจำเท่าใดนัก ยังดีที่ในส่วนการแสดงได้ เฮนรี คาวิล ที่แม้จะยังไม่ได้โชว์ฝีมือด้านดราม่าเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าการปรากฎตัวพร้อมหุ่นล่ำๆ ฉบับซูเปอร์แมนของเขามารับบท เกรอลด์ น่าจะพอทำให้สาวๆ ติดตามเรื่องราวที่ซับซ้อนและดูบอยๆ แบบนี้ได้บ้าง

รวมถึง อันยา ชาโลตรา นักแสดงสาวชาวอังกฤษในบทเยนนิเฟอร์ที่นอกจากความสวยแล้ว ความใจกล้าของเธอยังน่าจะทำให้หนุ่มได้คอแห้งกันบ้างแหละ แม้หลายครั้งจะไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาต่อสู้กับมนตร์ดำแล้วเสื้อต้องหล่นมาโชว์หน้าอกอยู่เรื่อยก็ตาม ซึ่งพอพูดถึงเรื่องแนวแฟนตาซีพีเรียตและฉากโป๊แล้วก็อดนึกถึงซีรีส์ Game of Thrones ไม่ได้ และแน่นอนแหละว่างานวิชวลของ The Witcher เองก็ไม่ได้หนีจากซีรีส์ชิงบัลลังก์เรื่องดังที่เรากล่าวไปแล้วเท่าใดนัก จนเราอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ทั้งงานออกแบบงานสร้างและการต้องมีฉากขายความเซ็กซี่

ในส่วนของการแสดงต้องบอกว่าตัวละครหลักนั้นถือว่าแคชมาได้อย่างดี โดยเฉพาะ Henry Cavill ในฐานะ Geralt เขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เขาสามารถเข้าถึงบทนี้ได้เป็นอย่างดี การแสดงอารมณ์ต่างๆ ดีมาก โดยเฉพาะฉาก Action ที่ใส่แบบไม่ยั้ง นอกจากนี้ในซีนที่ต้องเล่นมุกตลกพี่แกก็ยังคงความเป็น Geralt ในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้อย่างไหลลื่น

อีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Anya Chalotra ที่แม้ว่าหลาย ๆ คนจะไม่ค่อยชอบเธอในฐานะของ Yennefer มาตั้งแต่ตอน Cast แต่เธอก็เล่นบทนี้ออกมาได้ดีเยี่ยม รวมถึง Freya Allan กับบท Ciri ก็ทำออกมาได้ประทับใจพอสมควร แต่เป็นที่น่าเสียดายนอกจากตัวละครหลักแล้วตัวละครรองและนักแสดงบทบาทสมทบอื่นๆ ดันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

สรุปแล้ว The Witcher ฉบับ Netflix ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ดูได้สนุกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราแนะนำให้ดูแบบพากย์ไทย แล้วจะติดตามเรื่องได้ง่ายขึ้นแถมยังมีฉากร้องเพลงเป็นภาษาไทยด้วย ที่ถูกใจ DooDiDo ที่สุดคงหนีไม่พ้นเพลงที่ร้องว่า “จงโยนเหรียญ หั้ย..กาบ..วิชเชอร์…” นี่แหละที่ทำให้การดูซีรีส์เรื่องนี้มีความฮาแบบคาดไม่ถึงอยู่ แต่คุณก็จะได้เจอกับเรื่องขัดใจในหลายๆ จุด ดังนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วว่าจะดูหรือไม่

ติดตามข่าวสารทั่วโลกทาง DooDiDo.com อัพเดตก่อนใครทุกวัน

แหล่งที่มา : gamefever.co, www.beartai.com